Home ความสวยความงาม คอลลาเจนแบบผง กับแบบทา แบบไหนบำรุงผิวได้ดีกว่ากัน

คอลลาเจนแบบผง กับแบบทา แบบไหนบำรุงผิวได้ดีกว่ากัน

0
คอลลาเจนแบบผง กับแบบทา แบบไหนบำรุงผิวได้ดีกว่ากัน

คอลลาเจนเป็นสารชนิดหนึ่งที่สาว ๆ ทุกคนต่างรู้ว่าเป็นสารที่ช่วยเพิ่มความขาวกระจ่างใส กระชับเต่งตึง สำหรับผู้สูงอายุก็จะทำให้ดูอ่อนกว่าวัย ด้วยเหตุนี้จึงมีการนำคอลลาเจนมาเป็นส่วนหนึ่งของอาหารเสริมเพื่อสุขภาพและความงาม ซึ่งรูปแบบที่พบได้มาก็คือ คอลลาเจนแบบผง และแบบทา แบบไหนกันนะที่ช่วยบำรุงผิวได้ดีกว่ากัน วันนี้เรามีคำตอบมาบอกกัน


คอลลาเจนแบบผง คืออะไร ?

คอลลาเจนแบบผงคอลลาเจนแบบผง คือ คอลลาเจนที่ผ่านการแปรรูปให้อยู่ในรูปของไฮโดรไลซ์ คือ คอลลาเจนเปปไทด์หรือคอลลาเจนไฮโดรไลเสต ซึ่งคอลลาเจนแบบนี้จะเป็นคอลลาเจนที่ผ่านการย่อยสลายมากแล้ว ทำให้ร่างกายของเราสามารถทำการดูดซึมได้ง่ายกว่า คอลลาเจนผงพร้อมชงดื่มสามารถชงกับน้ำสะอาด น้ำหวานหรือน้ำผลไม้ก็ได้ คอลลาเจนแบบผงถือเป็นคอลลาเจนที่มีประสิทธิภาพและปริมาณคอลลาเจนที่สูงมากที่สุด โดยส่วนมากแล้วมักมีแหล่งที่มาจากปลาทะเลน้ำลึก และมีแหล่งผลิตที่หลากหลายเช่น คอลลาเจนอิตาลี คอลลาเจนญี่ปุ่น คอลลาเจนเกาหลี เป็นต้น


คอลลาเจนแบบทา คืออะไร ?

คอลลาเจนแบบผงคอลลาเจนแบบทา คือ การนำคอลลาเจนมาผสมรูปของครีม โลชั่น เซรั่ม หรือยาทาอื่นๆ เพื่อให้คอลลาเจนซึมเข้าสู่ผิวโดยตรง นิยมใช้ทาแบบเฉพาะที่เพื่อบำรุงอย่างล้ำลึก ซึ่งคอลลาเจนที่ใช้สำหรับทาจะต้องสกัดให้อยู่ในรูปโมเลกุลขนาดใหญ่ เพื่อรักษาคุณสมบัติของคอลลาเจนที่สมบูรณ์


ข้อดี-ข้อเสีย ของแบบผง VS แบบทา

คอลลาเจนแบบผงคอลลาเจนผงและคอลลาเจนผลแบบทาจะมีแหล่งกำเนิดที่ใช้ในการผลิตเหมือนกัน แต่มีการแปรรูปให้อยู่ในรูปที่ต่างกัน ซึ่งคอลลาเจนแต่ละชนิดจะมีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกันดังนี้


คอลลาเจนแบบผง

ข้อดี

  1. ปริมาณคอลลาเจนสูง ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมได้ทั้งหมดเมื่อรับประทานเข้าไป ทำให้ได้รับคอลลาเจนในปริมาณที่ต้องการได้อย่างถูกต้อง 
  2. ประสิทธิภาพสูง คอลลาเจนแบบผงจะอยู่ในรูปของคอลลาเจนเปปไทด์หรือคอลลาเจนไฮโดรไลเสตซึ่งร่างกายสามารถย่อยสลายเพื่อทำการดูดซึมได้ง่าย 
  3. เก็บรักษาได้นาน คอลลาเจนแบบผงหากเก็บให้อยู่ในสภาพที่ปราศจากความชื้นหรืออยู่ในความชื้นที่ต่ำมากจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าคอลลาเจนแบบอื่น ๆ 
  4. ทานได้หลายแบบ คอลลาเจนผงไม่จำเป็นต้องชงดื่มกับน้ำเปล่าอย่างเดียว แต่สามารถนำไปชงกับเครื่องดื่มอื่น ๆ ได้ เช่น กาแฟ น้ำผลไม้ น้ำหวาน เป็นต้น หรือจะนำไปรับประทานร่วมกับอาหารอย่างอื่นที่ต้องการได้ เช่น สลัด ข้าว ขนมปัง เป็นต้น ทำให้การรับประทานคอลลาเจนมีความหลากหลายไม่น่าเบื่อ

ข้อเสีย

  1. มีน้ำตาล คอลลาเจนแบบผงบางยี่ห้อมีการผสมน้ำตาลเข้าไปเพื่อเพิ่มรสชาติให้ทานง่าย ทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ยาก
  2. ชื้นง่าย หากทำการเก็บรักษาไม่ดีจะทำให้คอลลาเจนมีความชื้นได้ง่าย ส่งผลให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพได้เร็ว ดังนั้นต้องเก็บรักษาในภาชนะที่ปิดสนิทตลอดเวลา
  3. เสียเวลา การรับประทานต้องนำคอลลาเจนมาชงกับน้ำหรือรับประทานร่วมกับอาหารอย่างอื่น ทำให้เสียเวลาในการดื่ม 

คอลลาเจนแบบทา

ข้อดี

  1. ใช้งานง่าย การใช้คอลลาเจนแบบทามีขั้นตอนการใช้งานที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก
  2. รักษาความชุ่มชื้น คอลลาเจนจะช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี ทำให้ผิวนุ่ม เรียบลื่นเวลาที่สัมผัส

ข้อเสีย

  1. ซึมเข้าสู่ผิวได้ยาก คอลลาเจนที่ใช้สำหรับการทาจะอยู่ในรูปโมเลกุลคอลลาเจนขนาดใหญ่ ทำให้ไม่สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ ดังนั้นการแบบทาจะเคลือบอยู่ที่บริเวณผิวหนังเท่านั้น 

จะเห็นว่าคอลลาเจนทั้ง 2 แบบล้วนมีประโยชน์เมื่อนำมาใช้งาน นอกจากนี้ยังมีรูแบบฉีดคอลลาเจนด้วยแต่ว่าราคาสูงกว่ามาก ดั้งนั้นคอลลาเจนแบบผงจึงเป็นตัวเลือกที่ดีเพราะราคาที่ถูกและมีประสิทธิภาพสูงกว่าคอลลาเจนแบบทา เนื่องจากคอลลาเจนแบบผงและคอลลาเจนแบบทาในปริมาณที่เท่ากัน เมื่อทำการวิเคราะห์จะพบว่าคอลลาเจนแบบผงร่างกายจะสามารถดึงเข้าไปใช้งานได้มากกว่าคอลลาเจนแบบทา แต่สำหรับคอลลาเจนแบบทาจะทำหน้าที่เคลือบผิวช่วยรักษาความชุ่มชื้นคล้ายกับมอส์เจอไรเซอร์ ดังนั้นคอลลาเจนแบบผงจึงได้รับความนิยมกว่านั้นเอง โดยหากคุณไม่แน่ใจว่าควรเลือกคอลลาเจนแบบไหน เราขอแนะนำบทความ 8 อันดับคอลลาเจนเซเว่น


คอลลาเจนแบบไหนดีที่สุด และเลือกใช้อย่างไร

คอลลาเจนแบบผงสำหรับใครที่ไม่รู้จะเลือกคอลลาเจนยี่ห้อไหนดี เพื่อใช้บำรุงความงาม ช่วยบำรุงผิว ลดเลือนริ้วรอย หรือบำรุงสุขภาพร่างกาย เสริมความแข็งแรงของกระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นแล้ว ควรเลือกรับใช้คอลลาเจนแบบผงจะคุ้มค่ามากที่สุด เพราะคอลลาเจนแบบผงร่างกายสามารถดูดซึมได้มากที่สุด เรียกว่ารับประทานไปเท่าไหร่ก็สามารถดึงไปใช้ได้ทั้งหมด เพราะเป็นคอลลาเจนที่อยู่ในรูปที่ย่อยสลายได้ง่ายนั่นเอง โดยมีเทคนิคการเลือกดังนี้

  1. มี อย. การมี อย. ถือเป็นการรับรองอย่างหนึ่งว่าเป็นคอลลาเจนที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีการตรวจสอบว่าไม่เป็นโทษต่อร่างกายโดยหน่วยงานของรัฐบาลโดยตรง
  2. ไม่มีน้ำตาล คอลลาเจนผงหลายแบรนด์จะมีการผสมน้ำตาลเพื่อให้ผู้บริโภครับประทานได้ง่าย แต่การผสมน้ำตาลไปในคอลลาเจนจะทำให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนได้น้อยลง 
  3. ปริมาณคอลลาเจนชัดเจน ร่างกายควรได้รับคอลลาเจนวันละ 2,500 -3,000 มิลลิกรัมต่อวันและไม่เกิน 10,000 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นคอลลาเจนควรมีปริมาณคอลลาเจนบอกชัดเจน เช่น 1 ช้อนมีคอลลาเจน 2,000 มิลลิกรัม หรือ1 ซองมีคอลลาเจน 3,000 มิลลิกรัม เป็นต้น เพื่อจะได้รับประทานคอลลาเจนในปริมาณที่เหมาะสม
  4. อยู่ในรูปคอลลาเจนเปปไทด์หรือคอลลาเจนไฮโดรไลเสต คอลลาเจนที่อยู่ในรูปคอลลาเจนเปปไทด์หรือคอลลาเจนไฮโดรไลเสตเป็นคอลลาเจนที่ร่างกายย่อยได้ง่ายและรวดเร็ว ดังนั้นควรกินคอลลาเจนที่อยู่ในรูปนี้เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ทั้งหมด

ที่กล่าวมานี้เป็นเทคนิคการเลือกคอลลาเจนแบบผงที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใดก็สามารถรับประทานได้และควรรับประทานคู่กับวิตามินซีจะดีที่สุด เพราะวิตามินซีเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย เมื่อรับประทานคู่กับคอลลาเจนจะทำให้ร่างกายดูดซึมและนำคอลลาเจนไปใช้เต็มที่นั่นเอง 


อ้างอิง